ร่วมแชร์นิยาย ให้กำลังใจนักเขียนกันเถอะ =D
จูบที่บังเอิญ
หรือสวรรค์ผลัก
ณ กองละคร ‘นางเอกที่ร้าย’
ร่วมเดือนแล้วที่กองถ่ายละครเปิดกล้องมา...หลังจากเกิดปัญหาขึ้นในวันแรกของการถ่ายทำ
ที่ผู้จัดได้สั่งปลดดาราหนุ่มทศนันท์ ผู้ซึ่งรับบทเป็นตัวร้ายหลักกลางอากาศ
เพราะไม่มากองละคร แถมยังติดต่อไม่ได้
ทศนันท์มีข่าวไม่ดีเรื่องการทำงานออกมาให้ได้ยินเป็นระยะอยู่แล้ว
พอผู้จัดละครนางเอกที่ร้ายเจอกับตัว จึงไม่มีรีรอที่จะตัดไฟตั้งแต่ต้นลม
จากนั้นเป็นต้นมา การถ่ายทำก็ราบรื่นไม่มีปัญหา มีแต่กระแสคนดูที่ต่างเรียกร้องว่าอยากจะให้ออนแอร์ไวๆ
นักแสดงที่ส้มหล่นได้มาสวมบทร้ายแทนทศนันท์คือการิต...จากเดิมที่เขารับบทเป็นเพียงลูกน้องตัวร้ายเท่านั้น
เหตุผลหนึ่งที่ผู้จัดเลือกการิต เพราะกำลังมีกระแส จากการที่เขาไปถ่ายแบบชุดชั้นในชายให้กับนิตยสารหัวหนึ่ง
ที่พอออกวางแผง เป้าหนุ่มอันโดดเด่นล้นเหลือ กระชากหัวใจสาวน้อยสาวใหญ่ให้สั่นหวิว
หิวหื่นน้ำลายหกไปตามๆ กัน ยอดขายนิตยสารถล่มทลาย
การิต...ดาราหนุ่มผิวสีแทนดังขึ้นมากขึ้นมาเพียงชั่วข้ามคืน
ยิ่งเมื่อเขาออกมาให้สัมภาษณ์ว่าของจริงแท้ ไม่ได้มีการยัดแต่อย่างไร ก็ยิ่งเนื้อหอม...งานรุม
เรียกได้ว่าหน้ามือกับหลังมือกับตอนก่อนถ่ายแบบก็ว่าได้
โดยการถ่ายทำในวันนี้
การิตกับอรอลินต้องเข้าฉากด้วยกัน
สำหรับเขาที่ลึกๆ คลั่งไคล้เธออยู่ แสนจะความสุข เพราะในฉากต้องมีการพลอดกอด หอมแก้ม
และพร่ำคำรักต่อกัน
โดยตามเรื่องราวแล้ว เขากับเธอเป็นคนรักกัน
ก่อนที่เขาจะร้ายกับเธอด้วยการทิ้งไปคบหากับผู้หญิงคนอื่น ให้เธอได้แค้น
และร้ายกลับเอาคืนภายหลัง
หลังจากถ่ายทำเสร็จ...อรอลินพูดกับเขาว่า
“ดีใจด้วยนะกริตที่ได้เล่นบทนี้”
“กริตก็ดีใจ
ไม่คาดฝันมาก่อน แต่ก็จะทำให้เต็มที่ ให้ทุกคนเห็นในความสามารถ”
“อลินเชื่อว่าริตทำได้”
“ขอบคุณมากครับ...อลิน”
“กริตทำให้อลินนึกถึงตัวเองตอนย้ายช่องมาใหม่ๆ
ที่จู่ๆ ก็ได้เล่นเป็นตัวร้ายแทนอีกคน อาจจะหวั่นอยู่บ้าง แต่ก็มุ่งทำให้เต็มที่
ให้ดีที่สุด สุดความสามารถ พิสูจน์ให้ผู้จัดและทีมงานทุกคนเห็นว่าทำได้ดีกว่า...และถูกต้องแล้วที่เลือกเรามาแทน”
“คำพูดอลิน เป็นกำลังใจให้กริตมากๆ เลย”
“เป็นเพื่อนที่ดีต่อกัน ก็ต้องให้กำลังใจกันอยู่แล้ว”
เขายิ้ม...รับยิ้มของเธอที่ส่งมา รู้สึกล้นไปด้วยความสุขที่ได้สนิทสนมกับเธอมากขึ้น
อย่างเฝ้าภาวนาว่าให้ความสนิทนี้ พัฒนาไปสู่ความรู้สึกพิเศษ
แบบเดียวกับที่เธอรู้สึกต่อทักษ์ดนัย
เพราะเขาไม่ได้หวังเพียงแค่เป็นเพื่อนที่ดีต่อกัน แต่หวังมากกว่านั้น...หวังที่จะได้เธอมาครอบครองทั้งกายและใจ
วันต่อมา...
“ทำไมถึงต้องมาเสียเอาเวลานี้ด้วยนะ โทรศัพท์ก็ดันมาลืมเอาไว้ที่บ้านอีก...เฮ้อ”
อรอลินบ่นพึมพำกับตัวเอง แล้วถอนใจ...อ่อนอกอ่อนใจ
เพราะเจ้ารถยนต์สีขาวคู่กายดันมาเกิดติดขัด และดับเอาดื้อๆ จอดลงที่ข้างทาง ขับไปต่อไม่ได้เสียอย่างนั้น
“น้ำมันก็ยังไม่หมดนี่นา แต่ทำไมถึงดับนะ
เป็นอะไรไปเนี่ย ติดเถอะ...ขอร้อง”
ดาราสาวพยายามติดเครื่องยนต์อยู่หลายรอบ แต่ไม่เป็นผล
ครั้นพอเหลือบมองพี่นาฬิกาข้อมือ ตอนนี้ราวๆ
เก้าโมงครึ่งแล้ว ขณะเดียวเวลานัดหมายกองละครคือสิบโมงตรงที่โลเคชันบ้านสวน...บ้านนางเอกในเรื่อง อยู่ห่างไปอีกสิบกิโลเมตรได้
ไม่ควรจะไปกองสาย...เธอตัดสินใจว่า จะจอดรถทิ้งไว้
แล้วนั่งแท็กซี่ต่อไปกองถ่าย บางทีทีมงานละครอาจจะมีใครช่วยเธอดูรถได้บ้าง
หรืออาจจะยืมโทรศัพท์ของใครในนั้นโทรหาศูนย์รถให้มาดู
แต่พอลงจากรถมาโบกแท็กซี่...ผ่านไปร่วมสิบนาที
ไม่มีแท็กซี่คันไหนว่างเลย
อากาศก็ร้อน...การรอคอยทำให้เธอยิ่งหัวเสียอยากจะกรีดร้อง
วันนี้อรอลินต้องมากองละครโดยที่ปวีร์ไม่ได้มาด้วย
เนื่องจากผู้จัดการส่วนตัวของเธอกลับไปร่วมงานศพญาติที่บ้านเกิด...เชียงใหม่
ปกติดาราสาวก็ไม่มีปัญหาเลยหากจะต้องไปงานหรือกองถ่ายละครตามลำพัง
แต่ตอนนี้เธอคิดว่า หากปวีร์อยู่ด้วยก็คงจะดี
ทันใดนั้น...มีรถยนต์หรูสีดำคันหนึ่งวิ่งเลยรถของเธอไป
แล้วโฉบจอดที่ด้านหน้า
มองอย่างสงสัย รถใคร ก่อนที่จะได้คำตอบ
เมื่อผู้เป็นเจ้าของเปิดประตูลงมา แล้วเดินมุ่งมาที่เธอ
การได้เห็นเขา...เหมือนภูเขาที่ทับอกเธออยู่ถูกยกออก
พร้อมๆ กับคำถามที่ว่า
นี่ฉันฝันไปใช่ไหม…นั่นเขา…กิตติวินท์…
“พี่วินท์”
เธอเรียกชื่อเขา รู้สึกเหมือนเป็นเจ้าหญิงที่กำลังตกที่นั่งลำบาก
แล้วจู่ๆ ก็มีเจ้าชายขี่ม้าขาวมาช่วย
หัวใจที่ห่อเหี่ยวก่อนหน้านี้ กลับสดใส สดชื่น เบ่งบานขึ้นมาอย่างรู้สึกได้
“น้องอลิน...ทำอะไร...รถเป็นไร...”
เสียงทุ้มของเขา
เข้ากับใบที่มีหน้าหนวดได้อย่างมีเสน่ห์และคำว่าน้องอลิน นำมาซึ่งความรู้สึกอบอุ่น
และได้รับการดูแลเอาใจใส่
ให้ตายสิ...เขาหล่อมาก…ใจเธอร่ำร้อง
“ออ...พี่วินท์...จู่ๆ มันก็ดับ ทำยังไงดี อลินต้องรีบไปกองละครด้วยสิ
นี่ก็ใกล้จะถึงเวลานัดหมายแล้ว อลินไม่อยากเลท กลัวงานจะเสีย”
“เอาอย่างนี้...จอดรถไว้นี่ก่อน เดี๋ยวพี่จะไปส่งที่กองละครเอง”
เขาเสนอ...แล้วถาม “แล้วนี่โทรศัพท์บอกช่างหรือศูนย์แล้วหรือยัง"
“พอดีอลินลืมโทรศัพท์ไว้ที่บ้าน”
สีหน้าและน้ำเสียงฟ้องว่าอ่อนอกอ่อนใจ
แต่ทรวงในเธอกำลังเต้นหวาม...ร้อนระอุในยามที่ต้องเผชิญหน้ากับผู้ชายคนที่ทำให้เธอเฝ้าคิดถึงเรื่อยมานับตั้งแต่เจอกันครั้งแรก
“ถ้าอย่างนั้น
เดี๋ยวพี่โทรศัพท์เรียกช่างที่บริษัทให้มาดูเบื้องต้นก่อน”
“ขอบคุณมากค่ะพี่วินท์...แล้วนี่พี่วินท์ต้องรีบไปธุระที่ไหนหรือเปล่า” ในท่าทีเกรงใจ
เธอภาวนาว่าอย่าให้เขามีธุระอื่นใดเร่งด่วน
“ไม่ๆ พี่มาธุระแถวนี้อยู่แล้ว...ไปส่งอลินก่อนได้
ไม่มีปัญหาเลยสักนิด”
“โชคดีจังที่พี่วินท์ผ่านมาเห็น และจำอลินได้”
“ใครละจะจำอรอลินนางร้ายชื่อดังไม่ได้”
เขายิ้ม...รอยยิ้มนั้นละลายใจเธออีกแล้ว
เธอยิ้มตอบ
อย่างอยากให้มีอานุภาพพอที่จะละลายใจเขาได้บ้าง
“เอาของออกมาจากรถแล้วใช่ไหม” เขาถาม
“นี่คะ...”
เธอยกกระเป๋าถือให้เขาดู “เอาออกมาแล้ว”
“แล้วล็อครถหรือยัง”
“เรียบร้อยแล้วค่ะ”
“โอเค...ไปขึ้นรถกัน”
ทันใดนั้นเองบรรทุกขนาดใหญ่
ที่วิ่งไล่มากับรถกระบะบีบแตรดังสนั่นหวั่นไหว
ปี๊ดดด!!!
เสียงมันดังมาก...ดังเสียจนเจ้าหล่อนสะดุ้ง
“ว๊าย”
พร้อมๆ กับวิ่งไปข้างหน้า เพราะตกใจสุดขีด ทว่ารองเท้าเกิดชนสะดุดเข้ากับบล็อคของบาทวิถีที่ไม่สม่ำเสมอกัน
ทำให้ร่างบางพุ่งล้มไปหาร่างสูงสง่าตรงหน้าฝ่ายชายหนุ่มที่ไม่ทันตั้งรับ ถูกปะทะจนหงายลงไปกับพื้น
ร่างบางของเธอทาบทับอยู่ร่างแกร่งของเขา และเหมือนเวลาหยุดเดิน...มีแต่หัวใจที่เต้นแรง
ตึกๆ ตึกๆ
ทุกตำแหน่งของร่างกาย...อย่างราวกับถูกสวรรค์จัดแจงจัดวาง
กลีบปากเธอแนบลงชิดกับกลีบปากเขา
ทรวงสาวบดเบียดกับอกแกร่ง
ท้องและต่ำกว่านั้นลงไป...ก็เกยซ้อนกันอยู่
คล้ายริมฝีปากชายหนุ่มมีแรงดึงดูด
ขณะที่แขนทั้งสองของเขาโอบร่างเธอไว้
แต่แล้ว...เวลาคล้ายเดินต่อ
อรอลินรีบลุกขึ้น
“อะ...อลินขอโทษคะพี่วินท์” บอกออกไป
อย่างรู้สึกว่ากลีบปากผ่าวร้อนไม่หาย...ความจริงแล้วเธอรุมร้อนไปทั้งเนื้อทั้งตัว
หัวใจที่เต้นสั่นหวามก็ด้วย
กิตติวินท์ลุกขึ้นตาม “ขอโทษเรื่องอะไร”
“ก็ที่ล้มทับไง”
“ไม่ใช่ความผิดของอลินสักหน่อย...แล้วนี่อลินเจ็บตรงไหนหรือเปล่า”
น้ำเสียงและแววตาของเขา...เธอสัมผัสได้ถึงความเป็นห่วงเป็นใย
“อลินไม่เจ็บเลย
ก็พี่วินท์รับร่างลินไว้...พี่นั่นแหละเจ็บตรงไหนหรือเปล่า” เธอมองอย่างสำรวจตรวจตรา
“ไม่นี่” เขาปฏิเสธ
“พี่แข็งแรง” ว่าแล้วก็หัวเราะ
“นี่ถ้าไม่มีพี่วินท์มารองรับเอาไว้ อลินคงจูบพื้นไปแล้วแน่ๆ ”
เมื่อพูดออกไปแล้ว
เธอก็คิดขึ้นมาไม่ได้ว่า...เธอไม่น่าพูดถึงจูบ เพราะมันส่งผลให้สองแก้มของเธอเหมือนมะเขือเทศกำลังถูกอบด้วยความร้อน
“พี่ก็เลยถูกจุ๊บแทน”
เขาบอกอย่างอารมณ์ดี
และทำให้เธอยิ่งเขินอาย
“พี่วินท์...” เธอเรียกชื่อเขา...ไปไม่ถูก ก่อนจะพยายามจะตัดบทความเคอะเขินด้วยการมองไปที่ถนน
ตำหนิไปยังรถเจ้าของแตรที่ตอนนี้หายลับไปแล้ว
“รถคันนั้นนี่บ้าจริงๆ นี่ถ้าหัวใจวายจะทำไง”
กิตติวินท์...ผู้ชายคนนี้ต่างหากที่กำลังจะทำให้เธอหัวใจวาย
“ไปขึ้นรถกันเถอะเดี๋ยวไปกองไม่ทัน” เขาพูดขึ้น
“จริงด้วย...นี่จะเลทแล้ว”
เธอนึกขึ้นได้ แล้วเดินนำไปก่อน ในภาวะใจที่คลั่งเคลิ้มผู้ชายที่เดินตาม
แม้มันจะเป็นจูบที่เกิดจากอุบัติเหตุ
แต่มันก็ช่างแสนพิเศษเหลือเกิน
ให้ตายสิเธออยากจูบเขาอีก…
ระหว่างฝันเพ้อ...เขาเดินแซงเพื่อมาเปิดประตูรถให้เธอด้วยความเป็นสุภาพบุรุษ
“เชิญครับ”
“ขอบคุณมากค่ะ”
เธอพยักหน้า ยิ้มอ่อนบางให้เขา
แต่ภายในทรวงนี่สิคลุ้มคลั่ง
นี่ถ้าไม่ต้องคำนึงถึงความถูกผิด
หรือไม่มียางอายให้ต้องกังวล เธอจะโผกอดผู้ชายคนนี้ แล้วกระหน่ำจูบๆ ให้รู้แล้วรู้รอดไปเลย
ห้องนอนของอรอลิน
บนเตียงนอน...เธอยังไม่สามารถข่มตาหลับลงได้
มีเรื่องราวให้ต้องคิด ไม่ใช่เพราะเรื่องงาน หรือเรื่องปิณฑิราที่มาก่อกวนใจ
แต่เป็นเรื่องจูบ
จูบจากเขา...กิตติวินท์
แม้จะเป็นอุบัติเหตุ
แต่รอยประทับนั้นยังส่งไอร้อนให้เธอมาถึงตอนนี้ จูบอันมาพร้อมกับหนวด
ที่ให้สัมผัสนิ่มร้อน...และสากดิบ
จูบที่ทำให้นึกไปถึงสวรรค์...อาจจะเป็นฝีมือสวรรค์ที่ผลักให้เธอล้มทับเขาลงกับพื้น
ภาพเหตุการณ์ที่เกิดขึ้น ฉายซ้ำไปวนมาอยู่ในหัวของเธออย่างไม่รู้จักเบื่อ...มือบอบบางถูกเลื่อนขึ้นมาแตะปลายนิ้วสัมผัสกับริมฝีปากตัวเอง หลงเคลิ้ม คิดถาม...อยู่ในห้วงอารมณ์
หากจูบนั้นดูดดื่มกว่านี้...
หากไม่ใช่อุบัติเหตุ หากเป็นการตั้งใจจูบ...
หากไม่ใช่ตรงนั้นแต่เป็นบนเตียง...
และหากมากกว่าจูบ มันจะดีแค่ไหน...
คงจะดีมาก...
เธอเผลอเม้มกลีบปาก ดูดเบาๆ ที่ปลายนิ้วของตัวเอง ขณะที่ยังคงหลงย้อนอยู่กับภาพเหตุการณ์ที่บนบาทวิถีริมถนนตรงนั้น
“อะ...อลินขอโทษคะพี่วินท์”
“ขอโทษเรื่องอะไร”
“ก็ที่ล้มทับไง”
“ไม่ใช่ความผิดของอลินสักหน่อย...แล้วนี่อลินเจ็บตรงไหนหรือเปล่า”
“อลินไม่เจ็บเลย ก็พี่วินท์รับร่างอลินไว้...พี่นั่นแหละเจ็บตรงไหนหรือเปล่า”
“ไม่นี่...พี่แข็งแรง”
“นี่ถ้าไม่มีพี่วินท์มารองรับเอาไว้ อลินคงจูบพื้นไปแล้วแน่ๆ”
“พี่ก็เลยถูกจุ๊บแทน”
เธอถามตัวเอง...ไม่ได้คิดไปเองใช่ไหม ยามนั้นใบหน้าของเขามีความสุข ที่ถูกเธอ ‘จุ๊บ’ โดยอุบัติเหตุ
และในตอนที่จูบอยู่นั้น
ทำไมเธอรู้สึกคล้ายว่าหยักปากของเขาแรงดึงดูด ดูดดึงกลีบปากของเธอเอาไว้
รวมถึงอ้อมกอดที่โอบกระชับเธอเข้าหาตัว ก็คล้ายดึงเวลา ไม่อยากปล่อย
หรือเขาเองก็รู้สึกอะไรกับเธอ...
ให้ตายสิเธออยากจะจูบเขาอีก…ผู้ชายหนวดเท่ห์ ยิ้มเสน่ห์ละลายใจ
ระหว่างที่พาฝันไปถึงใบหน้าของกิตติวินท์
จู่ๆ ใบหน้าของใครคนหนึ่งซ้อนเข้ามา
ใบหน้าที่คุ้นเคย...ทำให้ใจเธอสั่นไหว...จนพลั้งปากเรียกชื่อ
“พี่เคน”
เขาคนนี้ ยังคงอยู่ในความทรงจำ ไม่เคยลบเลือน
คือรักแรก ทว่าลาลับจากโลกนี้ไปแล้ว หากก็ทำให้เธอรู้สึกผิด จนต้องสารภาพด้วยเสียงหม่นๆ
“พี่เคน...หลังจากที่พี่จากโลกนี้ไป บัวบอกกับตัวเองว่า
คงรักใครไม่ได้อีกแล้ว...แต่การที่ได้มาเจอเขา ความคิดของบัวกลับสั่นคลอน
เขาคล้ายพี่เคนหลายอย่าง ดวงตา น้ำเสียง และรอยยิ้มในบางที...
พี่เคนอย่าโกรธบัวเลยนะ...บัวห้ามใจตัวเองไม่ได้เลยจริงๆ...อาจเพราะเจ็ดแปดปีมาแล้ว
กับการที่บัวไม่มีพี่เคน ทำให้บัวมีความเหงา บัวเคยทนได้ แต่หลังๆ มานี้ความเหงามันรังแกหัวใจบัวเหลือเกิน”
แล้วน้ำตาก็เซาะริน...จากดวงตาลงผ่านแก้ม
“แต่บัวก็คงได้แต่คิดเท่านั้น
เพราะเขาเป็นพี่ชายของทักษ์ดนัย คนที่ใครๆ ก็รู้ว่าบัวกำลังคบหาอยู่ ที่สำคัญเขาเองก็มีคู่หมั้นอยู่แล้ว”